Friday, February 16, 2007

ค่ำคืนความคิด

รุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นดั่งแสงแรกแห่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง แต่สำหรับมนุษย์ที่หาเช้ากินค่ำในมหานครป่าคอนกรีตเช่นตัวผมแล้ว มันช่างเป็นเวลาที่น่าเบื่อที่สุด รถติด มลพิษ ผู้คนต่างรีบร้อนแข่งขันกับเวลาอันยิ่งใหญ่ โดยเราต่างลืมระดับห่วงโซ่ความสัมพันธ์ของทุกชีวิต จนเรากำลังจะกลายเป็นเพียงสังคมหุ่นยนต์
ในที่ทำงานบนตึกสูง ผมนั่งจมปรักอยู่กับหน้าจอ มือแน่นิ่งแช่อยู่บนแป้นพิมพ์ สายตาจดจ้องอยู่กับรูปที่เพื่อนสมัยเรียนส่งมาให้ทางจดหมายไฟฟ้า มันเป็นรูปที่เพื่อนผมนั่งอาบแสงแดดอุ่นๆ บนดอยม่อนจองและมีข้อความแนบมาด้วย
“ เรายังแข่งขันกับอะไร เรายังไขว่ขว้าถึงสิ่งใด ลองให้เวลากับตัวเองและกลับคืนสู่อ้อมอกอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ การเกิด, การแก่, การเจ็บ, การตาย แล้วมึงจะอยู่อีกนานเท่าไรว่ะ? ”
ผมรู้วันเกิดของผม ถึงกระนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถามนั้นได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าจะต้องตายไม่ในปีที่มี 365 วัน หรือไม่ก็มี 366 วัน เป็นแน่แท้ เลิกงานเย็นวันนั้น ผมกลับบ้านและเก็บของขึ้นรถไฟสายเหนือเที่ยวเวลา 19.40 น. ลงสุดสาย....ต่อรถไปอาเขตเพื่อขึ้นรถเมล์ไปยังอำเภอที่เวลาแทบจะหยุดเดิน -อำเภอปาย - ในครั้งสมัยเรียน ผมเคยมาเที่ยวที่อำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี้ ช่างเรียบง่ายและอบอุ่น แต่ปัจจุบันเมื่อมีฝรั่งตาน้ำข้าวเข้ามามากขึ้น และสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีหลากหลายเพิ่มขึ้น นั่นย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาสู่ปายแน่นอน ผมเลือกพักริมน้ำปาย อากาศยามปลายฝนต้นหนาวถือว่าดีมาก ปายยามนี้ก็สวยไปอีกแบบ สำหรับตัวผมไม่แน่ใจว่า ที่บางคนบอกว่าปายนั้นมีเวลาหยุดนิ่ง ผมคิดว่าอาจมาจากสาเหตุที่พวกเขาเหล่านั้น ได้ดูปุ๊นกันอย่างเมามันส์ เพราะที่ปายเป็นแหล่งรวมของเหล่าบรรดาศิลปินที่นิยมโลกส่วนตัวของพวกเขา
ยามค่ำคืนผมออกมานอนดูดวงดาวบนฟากฟ้า ตัวผมช่างเล็กกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกินเมื่อเทียบเคียงกับระบบเอกภพแห่งนี้ ตคนเราหรือปัญหาของเราเป็นเพียงฝุ่นเถ้าธุลีแค่นั้นเอง คิดได้อย่างนี้รู้สึกจิตใจสงบขึ้นเยอะทีเดียว ได้หยุดคิดในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามากระทบกับชีวิตของผม ทั้งที่รุนแรงราวพายุและสงบนิ่งดั่งภูผาหิน
อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า มีครั้งหนึ่งที่ผมได้เดินทางขึ้นเขาใหญ่กับเพื่อนอีก 3 คน เราไปกันตอนหน้าฝน โดนทั้งปลิงทั้งทากถาโถมเข้าใส่อย่างกับว่าพวกมันโกรธแค้นพวกเรามาหลายชาติ ได้พูดคุยกับคนที่มาเขาใหญ่หลายๆ แบบ ทั้งแบบฉาบฉวย ทั้งแบบดื่มด่ำธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบฉาบฉวยซะมากกว่า ครั้งนั้นมีเพื่อนมาชวนผมไปขี่จักรยานแข่งขันกัน ผมปฏิเสธการแข่งขันไป แต่มีเพื่อนบางคนที่มีพ่อเป็นนักปั่นน่องเหล็กกลับคิดว่าผมไม่กล้าสู้, กลัวแพ้, แพ้แล้วกลัวโดนเพื่อนล้อ และผมคิดว่าเขาก็คงเก่งพอตัวทีเดียว ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผม, ไม่กล้าสู้, ไม่ใช่ว่ากลัวแพ้ ไม่ใช่ว่าผมแพ้แล้วกลัวเพื่อนจะล้อ นี้ผมดั้นด้นถ่อเดินทางมาหาที่สงบ ปราศจากการแข่งขันต่างๆ ทั้งทางด้านเงินทอง, ยศ, บารมี, อำนาจ แต่กลับต้องมาเจอการแข่งขันอีก ผมขี่จักรยานมาตั้งแต่ประถม ขี่เสือภูเขาตอนขึ้นมัธยมทั้งแบบครอสคันทรี่ หรือแบบดาวน์ฮิล ผมชอบจักรยานแบบฟลูซับเทนชั่นนะ ตอนนั้นวงการเสือภูเขายังไม่โด่งดัง ผมไม่ได้ต้องการเอาชนะใครเลย เพราะว่าการชนะนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เป็นการสร้างน้ำมิตร หากว่าเราชนะเรื่อยๆ เราก็จะลืมรสชาติแห่งความพ่ายแพ้ไป และเมื่อเราพบความพ่ายแพ้ เราก็ไม่สามารถที่จะทนรับสภาพนั้นได้ ผมอยากที่จะแข่งขันกับจิตใจของผมเองมากกว่าที่จะแข่งขันกับใคร ผมอยากจะเอาชนะสิ่งยั่วยุจากสังคมเมืองที่เข้ามากระทบจิตใจของผมเอง ถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกดีที่ไม่ได้แข่งขันกับใครไม่ว่าจะเรื่องของหน้าที่การงาน ความรัก ฐานะทางสังคมที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแบ่งชนชั้น
เวลาที่ปายช่างก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ทำให้เรามีเวลาให้กับตัวเอง มีเวลาสัมผัสกับวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม และที่สุดอย่างยิ่งแล้วทำให้ผมได้สัมผัสกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อสรรพสิ่งในโลกบ้วมๆ ใบนี้ ธรรมชาติให้อะไรเรามากมายมหาศาล แต่เรากับเรียกร้องสิ่งต่างๆ นอกเหนือที่ธรรมชาติกำหนด เราดีแต่จะเฝ้าคอยฉกฉวยผลประโยชน์ แก่งแย่งผลประโยชน์กันเองอีก ทั้งยังทำลายสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้เรา มนุษย์เราช่างเป็นสัตว์โลกที่เห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าเพื่อการดำรงชีวิต แต่ฆ่าเพื่อความนุก ฆ่าเพื่อเป็นกีฬา
นอนดูดาวเพลินจนรู้สึกว่าร่างกายจะแข็งตาย ตอนนี้น่าจะได้เวลานอนได้แล้วแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าเพื่อดื่มอากาศอันแสนบริสุทธิ์และไปเดินดูผู้คนในตลาดเช้าพร้อมกับลิ้มรสกาแฟอุ่นๆ ที่หาไม่ได้ในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ รู้สึกว่าการได้มาอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติจะทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่แบบพอเพียงที่จะเลี้ยงตนเองได้ ผมชักไม่อยากกลับเข้าไปทำงานที่บางกอกแล้วสิ อาจจะต้องถึงเวลาที่จะย้ายออกจากดินแดนพิศวงมาสู่ดินแดนแห่งธรรมชาติแทน แล้วคุณล่ะคิดว่าถ้าคุณเป็นผมคุณจะเลือกแบบไหนดี?..........

No comments: